วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประวัติ
พ.ศ. 2475 ประเทศไทยเริ่มมีการฝึกยุวชนทหารเพื่อผลิตทหารกองหนุน สนับสนุนการรบของกองทัพไทย กล่าวได้ว่าการฝึกนักศึกษาวิชาทหาร (นศท.) มีต้นกำเนิดและแนวคิดมาจากยุวชนทหาร
พ.ศ. 2491 กิจการการศึกษาวิชาทหารได้เริ่มต้นขึ้นโดยมีการสถาปนากรมการรักษาดินแดน ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ. 2491[2] เพื่อดำเนินกิจการดังกล่าว ลงคำสั่งทหารที่ 54/2477 วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 โดยแนวคิดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น (ต่อมาแก้ไขโดย พ.ร.บ.จัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ. 2500)[3]

Cquote1.svg
การสงครามในอนาคตนั้น พลเมืองทุกคนไม่จำกัดเพศและวัย ย่อมจะต้องมีส่วนร่วมในสงครามด้วยกันทั้งสิ้น จึงมีความจำเป็นต้องขยายโครงสร้างของกองทัพ พร้อมกับพัฒนาระบบกำลังสำรองควบคู่กันไป
Cquote2.svg
พลโทหลวงชาตินักรบ (ศุข นักรบ)

พ.ศ. 2492 ได้เริ่มรับสมัครนักเรียนซึ่งอยู่ในระหว่างการศึกษาตั้งแต่ชั้นเตรียมอุดมศึกษาปีที่ 1 หรือชั้นปีที่ 1 ของโรงเรียนอาชีพ หรือเป็นนิสิตและนักศึกษาระดับอุดมศึกษาชั้นปีที่ 1 [4] และทำการฝึกนศท.เป็นปีแรก โดยเริ่มในกรุงเทพมหานคร แล้วจึงกระจายไปตามหัวเมืองในต่างจังหวัด โดยดำเนินการฝึกเป็นเวลา 5 ปี
พ.ศ. 2497 ได้มีการตรากฎหมายสำคัญ 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 และพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2497 ส่งผลให้นักศึกษาหรือนิสิตที่สำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตรที่กระทรวงกลาโหมกำหนด ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. 2494 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2497 ต้องเข้ารับราชการทหารในฐานะนายทหารสัญญาบัตรต่อไปอีกไม่เกิน 2 ปี จากนั้นให้ปลดเป็นนายทหารกองหนุนหรือรับราชการในฐานะนายทหารสัญญาบัตรประจำการต่อก็ได้[5] (ต่อมาได้มีการแก้ไขข้อบังคับฯ เพิ่มเติมส่งผลให้ปลดเป็นนายทหารสัญญาบัตรกองหนุน)[6] และได้มีพิธีประดับยศเป็น ว่าที่ร้อยตรี สำหรับผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหารเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2497[7]
พ.ศ. 2503 ได้มีการตราพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. 2503 ส่งผลให้ถอนทะเบียนกองประจำการนักศึกษาหรือนิสิต เฉพาะที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. 2494 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2497 สำหรับนักศึกษาหรือนิสิตซึ่งรับราชการทหารตามมาตรา 7 และมาตรา 7 ทวิ แห่ง พระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. 2494 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2497 นั้นให้ปลดเป็นกองหนุนตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร[8]
พ.ศ. 2528 ได้เริ่มมีการฝึกนศท.หญิงเป็นครั้งแรก พร้อมกับการฝึกนศท.ชั้นปีที่ 4 ในส่วนของกองทัพเรือ
พ.ศ. 2544 สถาปนา หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง (นสร.) โดยการรวมกิจการของกรมการรักษาดินแดน และกรมการกำลังสำรองทหารบกเข้าด้วยกัน [9] ลงคำสั่ง ทบ.(เฉพาะ) ที่ 63/44 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2544
พ.ศ. 2552 เปลี่ยนนามหน่วยเป็น หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) แทนชื่อเดิม หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง (นสร.) [10] โดย นรด. มีหน้าที่วางแผน อำนวยการ ประสานงาน กำกับการและดำเนินการเกี่ยวกับกิจการกำลังสำรองทั้งปวง กิจการสัสดี รวมทั้งปกครองบังคับบัญชาหน่วยทหารที่กระทรวงกลาโหมกำหนด มีผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ[11] การฝึกนศท.จึงได้รับการอำนวยการจากหน่วยงานดังกล่าวจนถึงปัจจุบันการ                                            
    การคัดเลือก                     ช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี จะมีการคัดเลือกนักเรียนนักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เพื่อเข้าเป็นนักศึกษาวิชาทหาร โดยผู้เข้ารับการคัดเลือกจะต้องมีคุณลักษณะดังนี้[12]
  1. สำเร็จการศึกษาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่าขึ้นไป และมีผลการศึกษาของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่า ตั้งแต่ 1.0 ขึ้นไป
  2. กำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาที่หน่วยบัญชาการรักษาดินแดนเปิดทำการฝึกวิชาทหาร
  3. เป็นบุคคลชายหรือหญิงและมีสัญชาติไทย
  4. เป็นบุคคลผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปี และไม่เกิน 22 ปี นับตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร และต้องได้รับคำยินยอมจาก บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง (กรณีที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ)
  5. เป็นบุคคลที่ไม่พิการ ทุพพลภาพ หรือมีโรค [13]ซึ่งไม่สามารถจะรับราชการทหารได้ ตามกฎหมาย ว่าด้วยการรับราชการทหาร พ.ศ. 2497
  6. เป็นบุคคลที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามการเป็นทหารในเฉพาะบางท้องที่ [14]ตามกฎหมาย ที่ออกตามความในมาตรา 13 (3) แห่งพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497
  7. เป็นบุคคลผู้มีน้ำหนัก ขนาดรอบตัว ขนาดส่วนสูง ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยผู้สมัครต้องผ่านการทดสอบร่างกาย ตามเกณฑ์ที่กำหนด[15]
  8. มีใบรับรองของสถานศึกษาว่ามีความประพฤติเรียบร้อย สมควรเข้ารับการฝึกวิชาทหาร
นอกจากนี้ผู้สมัครจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
  1. เป็นบุคคลผู้มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI: Body Mass Index)[16] อยู่ในเกณฑ์ปกติ และต้องไม่อยู่ในภาวะ โรคอ้วน ซึ่งมีดัชนีความหนาของร่างกาย ตั้งแต่ 30 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไป (BMI = น้ำหนักตัว (กก.) / ส่วนสูง² (ม.²) )
  2. ผ่านเกณฑ์ทดสอบสมรรถภาพการคัดเลือกนักศึกษาในปี พ.ศ. 2553 คือ วิ่ง 800 เมตร ใน 3 นาที 15 วินาที, ลุกนั่ง (ซิดอัป) 34 ครั้ง ใน 2 นาที , ดันพื้น (วิดพื้น) 22 ครั้ง ใน 2 นาที
    เป้าหมายของการฝึกนักศึกษาวิชาทหารในแต่ละชั้นปี 
    • ชั้นปีที่ 1 และ 2 ให้นักศึกษาวิชาทหาร มีความรู้วิชาทหารเบื้องต้นในระดับลูกแถว เพื่อให้บังเกิดความมีระเบียบวินัยเสริมสร้างบุคลิกลักษณะทหาร สามารถใช้อาวุธประจำกายและทำการยิงอย่างได้ผล
    • ชั้นปีที่ 3 ให้นักศึกษาวิชาทหาร มีความรู้วิชาทหารในระดับผู้บังคับหมู่เพื่อให้มีความพร้อม ในการควบคุมบังคับบัญชาหน่วยในการปฏิบัติการรบในแบบ และการรบนอกแบบ
    • ชั้นปีที่ 4 ให้นักศึกษาวิชาทหาร มีความรู้วิชาทหารในระดับรองผู้บังคับหมวดเพื่อให้มีความพร้อม ในการควบคุมบังคับบัญชาหน่วยในการปฏิบัติการรบในแบบ และการรบนอกแบบ
    • ชั้นปีที่ 5 ให้นักศึกษาวิชาทหาร มีความรู้วิชาทหารในระดับผู้บังคับหมวดเพื่อให้มีความพร้อม ในการควบคุมบังคับบัญชาหน่วยในการปฏิบัติการรบในแบบ และการรบนอกแบบ
    การฝึกวิชาทหารดังกล่าว ถ้ามีการละเว้นการเรียน 1 ปีโดยไม่แจ้งลาพักเข้ารับการฝึก จะถือว่าสิ้นสุดสภาพความเป็นนักศึกษาวิชาทหารไม่สามารถเข้ารับการฝึกในชั้นปีต่อไปได้[17]นักศึกษาวิชาทหาร ในส่วนของกองทัพบก
    นักศึกษาวิชาทหารในส่วนของกองทัพบกสามารถแบ่งออกได้ 5 เหล่าคือ
    1. เหล่าทหารราบ
    2. เหล่าทหารม้า
    3. เหล่าทหารปืนใหญ่
    4. เหล่าทหารสื่อสาร
    5. เหล่าทหารช่างนักศึกษาวิชาทหาร ในส่วนของกองทัพอากาศ ปีการศึกษา 2549 กรมกำลังพลทหารอากาศได้รับอนุมัติจากกองทัพอากาศ เปิดการฝึกนักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 1 และจะเปิดการฝึกครบทั้ง 5 ชั้นปี ในปีการศึกษา 2553 โดยกองทัพอากาศต้องการเน้นเฉพาะการฝึกนักศึกษาวิชาทหารเพื่อเป็นกำลังพลสำรองในส่วนช่างเทคนิค เพื่อชดเชยกำลังหลักในส่วนดังกล่าวที่ขาดแคลน โดยจะคัดเลือกเฉพาะนักศึกษาวิชาทหารที่สถานศึกษามีที่ตั้งใกล้เคียงกับกองบัญชาการกองทัพอากาศกรุงเทพมหานคร และเปิดสอนในด้านช่างเทคนิค ซึ่งได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง วิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี โรงเรียนเซนต์จอห์นโปลิเทคนิค
      การฝึกภาคทฤษฎี
      การเรียนภาคทฤษฎีเริ่มทำการฝึกประมาณเดือนกรกฎาคม จนถึง เดือนพฤศจิกายน ของทุกปี ที่โรงเรียนจ่าอากาศ
      การฝึกภาคสนาม
      • นศท.ชั้นปีที่ 1 ฝึกภาคสนามที่โรงเรียนการบิน อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
      • นศท.ชั้นปีที่ 2 ฝึกภาคสนามที่ กองบิน 2 จังหวัดลพบุรี
      • นศท.ชั้นปีที่ 3 ฝึกภาคสนามที่ กองบิน 4 อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
      • นศท.ชั้นปีที่ 4 และ นศท. ชั้นปีที่ 5 ฝึกภาคสนามที่ กองบิน 5 อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคิรีขันธ์
      การฝึกอบรมก่อนพิธีประดับยศ การอบรมใช้เวลา 5 วัน ดำเนิการโดยกรมยุทธศึกษาทหารอากาศ กองบัญชาการกองทัพอากาศ
      วันจันทร์ที่ 19 กันยายน 2554 ได้มีพิธีประดับยศเป็น ว่าที่เรืออากาศตรี ให้กับ นศท. ชั้นปีที่ 5 ในส่วนของกองทัพอากาศ รุ่นที่ 1 ปีการศึกษา 2553[21
ความสำคัญของวันสงกรานต์
1. เป็นวันหยุดพักผ่อนประจำปี2. เป็นวันทำบุญสร้างกุศล และประกอบพิะกรรมทางศาสน3. เป็นวันอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมไทย4. เป็นวันแสดงวันกตัญญูกตเวที ระลึกถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว5. เป็นวันครอบครัว วันรวมญาติและวันผู้สูงอายุ6. เป็นวันอนุรักษ์พัน                                                                                                                               กิจกรรมในวันสงกรานต์
          จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เราได้ถือปฏิบัติสืบต่อ ๆ กันมานั้น มีความมุ่งหมายให้เกิดความสงบสุขแก่จิตใจ ครอบครัว และสังคมเป็นสำคัญ กิจกรรมที่ทำก็มีอย่างหลากหลายและมีเหตุผลในการกระทำดังกล่าวทั้งสิ้น ซึ่งสามารถประมวลกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดได้ดังต่อไปนี้

ก่อนวันสงกรานต์
          เป็นการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เพื่อความเป็นสิริมงคล และต้อนรับชีวิตใหม่ที่จะเริ่มต้นในวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง กิจกรรมที่ทำ ได้แก่
       - การทำความสะอาดบ้านเรือนที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ข้าวของต่าง ๆ รวมทั้งสถานที่สาธารณะต่าง ๆ เช่น วัด ศาลา บริเวณชุมชน เป็นต้น
       - การเตรียมเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ไปทำบุญ รวมทั้งเครื่องประดับตกแต่งต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีผ้าสำหรับไปไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรดน้ำขอพรด้วย
       - การเตรียมอาหารในการไปทำบุญ ทั้งของคาวของหวานที่พิเศษ ได้แก่ การเตรียมขนมที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของวันตรุษและวันสงกรานต์ นั่นคือ ข้าวเหนียวแดงสำหรับวันตรุษ และขนมกวนหรือกาละแมสำหรับวันสงกรานต์
ธุ์สัตว์วันสงกรานต์          เมื่อถึงวันสงกรานต์ เป็นเวลาที่ทุกคนจะยิ้มแย้มแจ่มใส ทำใจให้เบิกบาน เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งมีดังต่อไปนี้
       - การทำบุญ ตักบาตรตอนเช้า หรือนำอาหารไปถวายพระที่วัด
       - การทำบุญอัฐิ อาจจะทำตอนไหนก็ได้ เช่น หลังจากพระภิกษุ-สามเณรฉันเพลแล้ว หรือจะนิมนต์พระมาสวดมนต์ ฉันเพลที่บ้าน แล้วบังสุกุลก็ได้ การทำบุญอัฐิ อาจจะนิมนต์พระไปยังสถานที่เก็บหรือบรรจุอัฐิ หากไม่มีให้เขียนชื่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้วลงในกระดาษ เมื่อบังสุกุลเสร็จจึงเผากระดาษแผ่นนั้นเสีย เช่นเดียวกับการเผาศพ
       - การสรงน้ำพระ มี 2 แบบ คือ การสรงน้ำพระภิกษุสามเณร และการสรงน้ำพระพุทธรูป
       o การสรงน้ำพระภิกษุสามเณร จะใช้แบบเดียวกับอาบน้ำ คือ การใช้ขันตักรดที่ตัวท่านหรือที่ฝ่ามือก็ได้ แล้วแต่ความนิยม หากเป็นการสรงน้ำแบบอาบน้ำพระ จะมีการถวายผ้าสบงหรือถวายผ้าไตรตามแต่ศรัทธาด้วย
       o การสรงน้ำพระพุทธรูป อาจจะจัดเป็นขบวนแห่ หรือเชิญมาประดิษฐานในที่อันเหมาะสม การสรงน้ำจะใช้น้ำอบ น้ำหอม หรือน้ำที่ผสมด้วยน้ำอบ น้ำหอมประพรมที่องค์พระ
       - การก่อพระเจดีย์ทราย จะทำในวันใดวันหนึ่งระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน โดยการขนทรายมาก่อเป็นเจดีย์ขนาดต่าง ๆ ในบริเวณวัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้วัดได้ใช้ประโยชน์ในการก่อสร้าง หรือถมพื้นต่อไป ถือเป็นการทำบุญอีกลักษณะหนึ่งที่ได้ทั้งบุญและความสนุกสนาน
       - การปล่อยนก ปล่อยปลา เป็นการทำบุญทำทานอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเฉพาะการปล่อยนกปล่อยปลาที่ติดกับดัก บ่วง ให้ไปสู่อิสระ หรือปลาที่อยู่ในน้ำตื้น ๆ ซึ่งอาจจะตายได้ หากปล่อยให้อยู่ในสภาพแบบเดิม
       - การรดน้ำผู้ใหญ่ หรือการรดน้ำขอพร เป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ของครอบครัว หรือผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ การรดน้ำผู้ใหญ่อาจจะรดน้ำทั้งตัวหรือรดเฉพาะที่ฝ่ามือก็ได้ ดังนั้น จึงควรมีผ้านุ่งห่มไปมอบให้ด้วย เพื่อจะได้ผลัดเปลี่ยนหลังจากเสร็จสิ้นพิธีแล้ว
       - การเล่นรดน้ำ หลังจากเสร็จพิธีการต่าง ๆ แล้ว เป็นการเล่นรดน้ำเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างญาติมิตร โดยการใช้น้ำสะอาดผสมน้ำอบหรือน้ำหอม หรือจะใช้น้ำอบก็ได้ รดกันเบา ๆ ด้วยความสุภาพ
       - การเล่นรื่นเริงต่าง ๆ เช่น เข้าทรงแม่ศรี สะบ้า ลูกช่วง สุดแล้วแต่ความนิยมของท้องถิ่นนั้น ๆ

       ประเพณีปฎิบัติเหล่านี้ อาจจะมีความแตกต่างกันออกไปบ้างตามแต่ละท้องถิ่น การจะยึดถือปฏิบัติอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และความต้องการของชุมชนเป็นสำคัญ

คุณค่าและสาระของวันสงกรานต์

          จากภาพรวมของกิจกรรมต่าง ๆ ในวันสงกรานต์จะเห็นได้ว่า สงกรานต์เป็นประเพณีที่งดงาม อ่อนโยน เอื้ออาทร และเต็มไปด้วยบรรยากาศของความกตัญญู ความเคารพซึ่งกันและกัน เป็นประเพณีที่ให้ความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ในสังคม โดยใช้น้ำเป็นสื่อในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งต่างจากเทศกาลแห่งน้ำที่หน่วยงานบางแห่งดำเนินการเพื่อสร้างจุดขาย สร้างรายได้เข้าประเทศ ซึ่งอาจสร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้นแก่คนทั่วโลก ไม่เว้นแต่คนไทยด้วยกันเอง ให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และหลุดลอยไปจากสาระและคุณค่าเดิมของประเพณีสงกรานต์ไปทุกที
ประเพณีที่ถือปฏิบัติและสืบทอมกันมาอย่างยาวนาน เช่น ประเพณีสงกรานต์นี้ จึงย่อมมีความหมายและมีคุณค่าต่อผู้ปฎิบัติ ชุมชน และสังคมเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ :
สงกรานต์-คุณค่าต่อครอบครัว
       - วันสงกรานต์เป็นวันแห่งความรัก ความผูกผันในครอบครัว อย่างแท้จริง พ่อแม่จะเตรียมเสื้อผ้าใหม่พร้อมเครื่องประดับให้ลูกหลานไปทำบุญ ลูกหลานก็จะเตรียมเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ให้ผู้ใหญ่ได้สวมใส่หลักการรดน้ำขอพร
เมื่อถึงวันสงกรานต์ ทุกคนจะหาโอกาสกลับบ้านไปหาพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ รดน้ำขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นปีใหม่ และเป็นกำลังใจกันและกันในการดำรงชีวติอยู่ต่อไป
       - วันสงกรานต์เป็นวันแห่งการแสดงความกตัญญู โดยการปรนนิบัติต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณที่มีชีวิตอยู่ และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

สงกรานต์-คุณค่าต่อชุมชน
       วันสงกรานต์เป็นวันที่ก่อให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีในชุมชน เช่น ได้พบปะสังสรรค์ ได้ทำบุญร่วมกัน และได้เล่นสนุกสนานรื่นเริงกันในยามบ่ายหลังจากการทำบุญ โดยการเล่นรดน้ำในหมู่เพื่อนฝูงและคนรู้จัก และการละเล่นตามประเพณีท้องถิ่น เป็นต้น

สงกรานต์-คุณค่าต่อสังคม
       สงกรานต์เป็นประเพณีที่ก่อให้เกิดความเอื้ออาทรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะในวันนี้ทุกคนจะช่วยกันทำความสะอาดบ้านเรือน สิ่งของเครื่องใช้ทุกอย่างให้สะอาดหมดจด เพื่อจะได้ต้อนรับปีใหม่ด้วยความแจ่มใส เบิกบาน นอกจากนี้ยังควรช่วยกันทำความสะอาดวัดวาอาราม ที่สาธารณะ และอาคารสถานที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ด้วย

สงกรานต์-คุณค่าต่อศาสนา
       วันสงกรานต์เป็นวันทำบุญครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของพุทธศาสนิกชน โดยการทำบุญ ตักบาตร เลี้ยงพระ ฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม และสรงน้ำพระ การศรัทธาในการทำบุญให้ทาน ถือเป็นการเกื้อกูลสูงสุดของมนุษยชาติ และการถือศีลปฏิบัติธรรมเป็นเหตุแห่งความเจริญร่งเรืองของชีวิต และสามารถสืบทอดพระพุทธศาสนามาได้จนถึงปัจจุบัน

แปรงฟันอย่างถูกวิธี – บทความดีๆ

บทความดีๆ วันนี้ ขอเสนอ วิธีแปรงฟันอย่างถูกต้องซึ่งเราเชื่อว่าหลายคน มีวิธีการแปรงฟันผิดๆทำให้เป็นต้นเหตุ ของ ฟันผุ กลิ่นปาก และ โรคต่างๆในช่องปาก
ล้างแปรงให้ชุ่มชื้นก่อนใส่ยาสีฟัน
เริ่มแปรงที่ฟันที่ลึกที่สุดของด้านบน โดยแปรงที่ฟันด้านหน้าก่อน
แปรงเพียงครั้งละ 2-3 ซี่เท่านั้นและเอียงแปรงโดยหันทำมุม ให้เอียงเข้าหาเหงือก โดยโดนเหงือกข้างล่างนิดนึง จากนั้นปัดขึ้นลงๆ(ตามรูปด้านบน)
เมื่อเสร็จแล้ว ก็เลื่อนไปอีกทีละ 2-3ซี่ จนสุด ที่ฟันกรามหรือฟันสุดท้ายของอีกข้าง
ทำตามชั้นตอนที่ 2-4 ที่ฟัน ด้านล่าง
แปรงฟันด้านในตามขั้นตอนที่2-4 เช่นเดิม(สำคัญคือทำตามที่ขีดเส้นใต้)โดยเอียงเข้าหาเหงือกและปัดขึ้นลงๆเช่นเดิม ส่วนฟันหน้าของเราด้านในแปรงตามรูปข้างล่างครับ
แปรงฟันส่วนที่ใช้กัดอาหาร
แปรงลิ้นและแก้ม
บ้วน

บทความดีๆสำหรับคนทุกคน

บทความดีๆวันนี้ผมมีข้อคิดในการใช้ชีวิตให้มีความสุขในชีวิตประจำวัน สำหรับคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งผมจะขอสรุปให้เพื่อนๆ ทุกๆคนอ่านกันได้ง่ายนะครับ
คิดและมองด้านบวกในทุกๆเรื่อง จะทำให้จิตใจเบิกบาน ไม่มีความเครียด และจะไม่พบความผิดหวังท้อใจ
กล้าเผชิญกับอุปสรรคในชีวิต แล้วจะพบว่าเราทุกคนมีศักยภาพที่จะผ่าพ้นมันไปได้ และเมื่อมีเงามืด ย่อมมีแสงสว่างเสมอ
ยิ้มเสมอ จะเป็นที่รักของทุกๆคน และทำให้จิตใจตัวเองเบิกบาน
ออกกำลังกายเป็นประจำ ปราศจากโรคภัย และเมื่อร่างกายแข็งแรง จิตใจก็แข็งแรง ผ่องใส
ช่างฝัน จะทำให้มีความมุมานะและมองความสำเร็จของเรา กล้าที่จะลงมือทำ
ความเพียรพยายาม จะช่วยให้ทุกๆอย่างสำเร็จ
หมั่นหาึความรู้เพิ่มเติม ทำให้เรามีวิสัยทัศน์กว้างขวาง มีสติปัญญาดี เข้าใจในสิ่งต่างๆและธรรมชาติของมัน เพิ่มพูนประสบการณ์
คิดและพูดแต่สิ่งที่ดี ทำให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข

น้ำกับร่างกายเรา

บทความดีๆวันนี้ขอเสนอความสัมพันธ์ของน้ำกับร่างกายเรา
รู้หรือไม่ ในร่างกายมนุษย์ ประกอบด้วย น้ำถึงประมาณ 65 เปอร์เซนต์ ส่วนในสมองนั้นประกอบด้วยน้ำ กว่า80เปอร์เซนต์ แม้แต่ในกระดูกซึ่งหลายๆคนคิดว่าไม่น่าจะมีน้ำหรือมีน้ำเป็นองค์ประกอบน้อยมากๆ กลับมีถึง ร้อยละ25!! เห็นถึงความสำคัญของน้ำต่อร่างกายเรารึยังหละครับ
ร่างกายต้องการน้ำโดยเฉลี่ยแล้วประมาณวันละซัก 3ลิตร น้ำที่ได้มาอาจอยู๋ในรูป น้ำเปล่าที่ดื่ม น้ำผลไม้ และอาหารอื่นๆ
ความสำคัญของน้ำต่อร่างกายคือ
เซลล์ต่างๆมีน้ำเป็นองค์ประกอบ
ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว, แลกเปลี่ยนสารภายในเซลล์
ช่วยลำเลียงสารอาหาร, ก๊าซ, ของเสียต่างๆ ในร่างกาย
ช่วยให้อาหารชื้นทำให้ย่อยง่ายขึ้น
ตัวกลางในการทำปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย
ช่วยคุมอุณภูมิในร่างกายให้คงที่ เช่น เหงื่อไหลเมื่อร้อน เมื่อน้ำระเหยร่างกายก็จะเย็นลง
ช่วยขับถ่ายของเสีย เช่น ปัสสาวะของเราก็คือ ยูเรียซึ่งละลายในน้ำ ทำให้สามารถขับออกไปได้ง่่าย
บทความดีๆเกร็ดความรู้รอบตัว

หน้าที่ของธาตุแต่ละชนิดต่อร่างกาย

ธาตุชนิดใด มีความสำคัญต่อเราอย่างไรบ้างรู้ไว้เป็นเกร็ดความรู้รอบตัว
แคลเซียม – องค์ประกอบในกระดูก และฟัน,? ช่วยในการตื่นตัวของกล้ามเนื้อและระบบประสาท, ช่วยให้เลือดแข็งตัว
ฟอสฟอรัส – องค์ประกอบในกระดูกและฟัน, ส่วนประกอบของ สารพลังงานต่างๆในร่างกายเช่น ATP? NADP, ส่วนประกอบของ RNA, รักษาสมดุลกรด-เบส ในร่างกาย
เหล็ก – ฮีมในฮีโมโกลบิน(ในเม็ดเลือดแดง)ประกอบด้วยเหล็ก, ตัวร่วมของเอนไซม์ ไซโทโครม ออกซิเดส
แมกนีเซียม – ส่วนประกอบของกระดูกและฟัน, กระตุ้นเอนไซม์ในกระบวนการเมทาบอลิซึม, รักษาสมดุลของเหลวภายนอกเซลล์
โซเดียม – ช่วยในการตื่นตัวของประสาท และกล้ามเนื้อ, คุมสมดุลกรดเบส
โพแทสเซียม – ร่วมกับแคลเซียมคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ, คุมสมดุลออสโมติก
ไอโอดีน – ส่วนประกอบของฮอร์โมนไทรอกซิน
กำมะถัน – กรดอะมิโน เส้นผม กระดูกอ่อน และเล็บประกอบ รวมทั้งโปรตีนอีกหลายชนิดประกอบด้วยกำมะถัน
ฟลูออไรด์ – สารเคลือบฟัน ปกป้องจากฟันผุ, กระดูกแข็งแรง, ดูดซึมธาตุเหล็ก
หวังว่าคงได้ความรู้ไม่มากก็น้อยนะครับ อ่านบทความดีๆที่นี่

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มสธ.สุโขทัยธรรมาธิราช

มสธ.สุโขทัยธรรมาธิราช
สมัครเข้า มหาวิทยาลัย มสธ.สุโขทัยธรรมาธิราช ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ศูนย์บริการการศึกษาประจำจังหวั ด (โรงเรียนมัธยมศึกษาประจำจังหวัด) ศูนย์วิทยพัฒนา มสธ. 10 แห่ง ได้แก่
จันทบุรี
นครนายก
นครสวรรค์
สุโขทัย
ลำปาง
อุดรธานี
อุบลราชธานี
เพชรบุรี
นครศรีธรรมราช
ยะลา
ศูนย์บริการการศึกษามสธ.ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ โรงเรียนสารวิทยา โรงเรียนบางกะปิ โรงเรียนชิโนรสวิทยาลัย โรงเรียนวัดสุทธิวราราม โรงเรียนสมุทรปราการ และโรงเรียนปทุมวิไล หรือดาวน์โหลด ใบสมัครได้ฟรี ที่ www.stou.ac.th เปิดโอกาสจนถึงวันที่ 15 มกราคมนี้เท่านั้น รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ 0 2504 7561-4 ติดต่อ มสธ.สุโขทัยธรรมาธิราช
สาขาวิชานิติศาสตร์ มสธ.สุโขทัยธรรมาธิราช เริ่มสร้างในปี ค.ศ. 1980 โดยเปิดเป็น อันดับที่ 4 ในราชอาณาจักรไทย
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เปิดสอนในสาขาต่างๆดังนี้
สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ สาขาวิชารัฐศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาการจัดการ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ [...]
ปาก
วิธีเก็บหอมหัวใหญ่ไว้ใช้ได้นาน ๆ

เคยไหม  เก็บหอมหัวใหญ่ไว้นานไปหน่อย หอมหัวใหญ่มักจะแตกราก แทงใบออกมาเป็นต้นอยู่บ่อย ๆ (ช่างเป็นพืชที่ปลูกง่าย โตง่ายซะจริงหนอ) วิธีเก็บหอมหัวใหญ่ ไว้ให้ไใช้ได้นาน ๆ แม่เขียวหวานแนะนำ ให้ใส่หัวหอมใหญ่ในถุงกระดาษสีน้ำตาล พับปิดปากถุง ใส่ไว้ในช่องแช่ผัก หัวหอมใหญ่จะอยู่ได้นานขึ้น


เก็บใบแมงลัก ใบโหระพา ไว้ใช้ได้หลายๆวัน
ใบผักอย่างใบแมงลักหรือใบโหระพา เป็นผักที่ช้ำและเน่าเสียได้ง่าย
ถ้าบังเอิญคุณซื้อมามากจนเกินไปแล้วอยากจะเก็บไว้ให้ใช้ได้หลายๆวัน ให้เด็ด
ใบออกจากก้าน ผึ่งไว้พอแห้ง (ไม่ต้องล้างน้ำนะคะ แต่ก็อย่าเผลอผึ่งไว้
ซะจนแห้งกรอบล่ะ) นำใบที่เด็ดแล้วใส่ถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น ให้มีลม
อยู่ในถุงบ้าง จากนั้นนำไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา ก็จะเก็บไว้ใช้ได้หลายวันครับ
ทำอย่างไรผักแช่เย็นจะดูสดใหม่
การเก็บผักไว้ในตู้เย็น อาจทำให้ผักดูไม่สด ไม่น่ารับประทาน วิธีง่ายๆ ที่จะคืนความสดให้กับผักทำได้โดยการเตรียมภาชนะใส่น้ำให้มีขนาดพอ
เหมาะที่จะแช่ผัก
จากนั้นตัดก้านผักออกบางส่วนโดยต้องตัดใต้ผิวน้ำทั้งนี้เพื่อไม่ให้
อากาศเข้าไปอุดตันทางเดินของน้ำ จากนั้นแช่ผักทิ้งไว้ในน้ำเย็นสักพัก
ผักจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง น่ารับประทาน

การเก็บเนื้อหมู
การเก็บเนื้อหมูไว้ให้ใช้ได้นาน ควรเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง แต่เนื้อหมู
แข็งๆ ที่เป็นก้อนๆ นั้นตัดแบ่งได้ยากเหลือเกิน หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องรอ
กันนานกว่าจะหายแข็ง หรือต้องนำไปแช่น้ำให้หายแข็งเร็วขึ้นสูญเสียคุณค่า
ทางอาหารไปอีก ดังนั้นเมื่อซื้อเนื้อหมูมาแล้ว ควรล้างให้สะอาด ตัดแบ่งเนื้อ
หมูเป็นชิ้นย่อยๆ ไว้ตามประเภทอาหารที่จะปรุง หรือตามปริมาณต่อครั้ง
ที่จะใช้ เช่นแบ่งเป็นชิ้นพอสับทำแกงจืดรับประทาน 1 ครั้ง หรือทำ
ลาบหมูรับประทาน 1 ครั้ง จากนั้นนำใส่ในถุงพลาสติก แยกเป็นชิ้นๆ
จึงนำเข้าแช่ในตู้เย็น เวลาจะใช้ก็นำออกมาทิ้งให้หายแข็งตัวเพียงเท่าจำนวน
ที่จะใช้ หรือจะแช่น้ำก็แช่ได้ทั้งที่ยังใส่อยู่ในถุงพลาสติก สะดวกง่ายดายจริงๆ

ปอกแอปเปิ้ลไม่ให้ดำ
เคยสังเกตมั๊ย เวลาปอกแอปเปิ้ล หรือสาลี่ทิ้งไว้ ผิวของผลไม้
ประเภทนี้จะหมองคล้ำ ยิ่งเวลาผ่านไปความน่ารับประทานก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆ
ป้องกันผิวของผลไม้ดำได้โดยละลายเกลือประมาณ 1 ช้อนชาลงในน้ำเปล่า 1 ชามแกง นำแอปเปิ้ล หรือสาลี่ที่ปอกเสร็จแล้วลงแช่ทิ้งไว้สักพัก เมื่อนำขึ้นมา
จัดใส่จานผิวของผลไม้ก็จะไม่ดำคล้ำ ? ลวกผักให้สีเขียวสดใส
ขนมถุง อันตราย
กินขนมถุงเยอะขึ้น ไตถูกทำลายมากขึ้นโซเดียมเป็นสารอาหารที่สำคัญในตระกูลเกลือแร่ โซเดียมจัดอยู่ในกลุ่มอีเลคโทรไลต์ เมื่อละลายน้ำจะแยกตัวออกเป็น ไอออนที่มีประจุไฟฟ้าบวก โซเดียมมีมากที่สุดที่น้ำนอกเซลล์ โดยควบคุมความดันออสโมติกเพื่อรักษาปริมาณของน้ำนอกเซลล์
พริกขี้หนูสด ลดการเสี่ยงโรคหัวใจ article

โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุ ของการตายเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลกโดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจาก  พฤติกรรม                                                                                                                                                                                      ยากับน้ำผลไม้ อันตรายกว่าที่คิด
  เวลาที่ไม่สบายเราก็ต้องทานยาเพื่อจะได้หายป่วยไวๆ แต่บางทีถ้าหากว่าเป็นโรคบางโรค
แล้วทานยาแล้วเผลอตามด้วยการดื่มน้ำผลไม้เข้า นั่นอาจจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตราย
ซึ่งคงไม่เป็นที่ปรารถนาอยากจะได้มาอย่างแน่นอน

การกินที่ไม่เหมาะส                                                                                                                                                                                       สุขภาพดีด้วยการบริจาคโลหิต
นอกจากความภูมิใจที่ได้แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่นโดยทางอ้อมแล้ว เชื่อไหมว่าการบริจาคเลือด
ยังช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย เลือดประกอบด้วยพลาสมา (น้ำเหลือง)
และเม็ดเลือด คิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว คือ 5-6 ลิตรสำหรับผู้ชาย และ 4-5 ลิตรสำหรับผู้หญิง
หรือประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ไขกระดูกเป็นอวัยวะตั้งต้นที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือด 3 ชนิด

ม                   10 วิธี การกินอย่างฉลาด article

ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก